กูรูแนะลงทุน 6 กลุ่มหุ้นใหญ่รับอานิสงส์น้ำมันขาลง


บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (14 ธ.ค.) ว่า สัปดาห์นี้เชื่อว่าประเด็นที่ตลาดให้น้ำหนักต่อการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในสัปดาห์นี้ 15-16 ธ.ค.  แต่เป็นที่สังเกตว่าผลสำรวจของ Bloomberg ล่าสุดพบว่าผู้ที่ให้น้ำหนักต่อการขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ลดลงมาเหลือ 74% เทียบที่ขึ้นสูงสุด 80% ในการสำรวจในกลางสัปดาห์ที่แล้ว และผลสำรวจคาดว่า Fed จะปรับขึ้นจะเพิ่มแบบค่อยเป็นค่อยไปคือราว 0.25% ขณะที่การรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจล่าสุด โดยเฉพาะด้านราคาพบว่ากระเตื้องขึ้น กล่าวคือ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 0.3%MoM สูงกว่าเดือน ต.ค. ซึ่งติดลบ 0.4% MoM (หรือเท่ากับ  -1.1%yoy เดือน พ.ย. V.S  1.6%yoy เดือน ต.ค.)    

ท่ามกลางความกังวลยังมีหุ้นที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันขาลง

ถึงแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่ลดลง แม้จะกดดันหุ้นน้ำมัน โดยเฉพาะ PTT, PTTEP แต่พบว่ามีหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลงในปัจจุบัน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มขนส่ง หรือ Logistic  เช่น หุ้นสายการบิน ซึ่งใช้น้ำมันเป็นต้นหลัก ดังที่กล่าวไว้ใน Market talk เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา   อย่างไรก็ตามยังมีกลุ่มอื่น ๆ ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์โดยตรงจากน้ำมันขาลง  สรุปได้ดังนี้  คือ

กลุ่มค้าปลีก-ส่ง 
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง มีผลให้ต้นทุนโลจิสติกส์ปรับลดลง เนื่องจากมีการใช้รถขนส่งจำนวนมากในการกระจายสินค้าไปยังสาขาต่างๆ (แต่การปรับลดต้นทุนค่าขนส่งดังกล่าวอาจมี Lag time เนื่องจากการขนส่งส่วนใหญ่เป็น Outsource) รวมทั้งค่าไฟฟ้าภายในห้างมีแนวโน้มลดลงตามค่า Ft โดยล่าสุดในช่วงเดือน  ก.ย. -  ต.ค.  ลดลงจากรอบก่อนหน้าราว 1%  และคาดว่ายังมีโอกาสลดลงอีกในรอบต่อๆไป จากการประเมินเบื้องต้น พบว่า สัดส่วนของต้นทุนโลจิสติกส์และค่าไฟฟ้าของกลุ่มฯ จะอยู่ที่ราว 2-4% ของยอดขาย ซึ่งหากตั้งสมมติฐานตัดลดค่าใช้จ่ายดังกล่าวราว 12% เกิดจากค่าน้ำมันลดลง 20% และค่าไฟลดลง 5% จะส่งผลให้ต้นทุนดำเนินงานของกลุ่มลดลงและฐานกำไรกลุ่มเพิ่มขึ้นจากประมาณการปัจจุบันราว 2-3% ของกำไร โดยหุ้นเด่นในค้าปลีก ได้แก่  COM7(FV@B5.57) คาดว่ากำไรสุทธิงวด 4Q58 มีแนวโน้มสดใส และยังสดใสต่อเนื่องในปี 2559 ขณะที่  P/E ต่ำสุดในกลุ่ม  ตามมาด้วย HMPRO(FV@B8.30) และ  ROBINS(FV@B55) ซึ่งราคาปัจจุบันมี  upside 27%  และ  30%  ขณะที่มีค่า P/E เท่า และ   21.5 เท่า  และ 19.3 เท่า  (EPS Growth ปี 2559  อยู่ที่ 15.3% และ 16% ตามลำดับ)

กลุ่มวัสดุก่อสร้าง
ถือเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องถึงต้นทุนพลังงานอื่นๆไม่ว่าจะเป็น ถ่านหิน ค่าไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ ให้ปรับตัวลดลงตาม โดยธุรกิจที่น่าจะได้รับประโยชน์ชัดเจนคือธุรกิจกระเบื้อง (DCC)เพราะโครงสร้างต้นทุนมีส่วนของก๊าซธรรมชาติสูงถึง 30% ของต้นทุนการผลิต เช่นเดียวกับ TASCOซึ่งใช้น้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบโดยตรงในการผลิตยางมะตอย สำหรับธุรกิจปูนซีเมนต์มีองค์ประกอบของต้นทุนพลังงานประมาณ 60% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด โดยแบ่งเป็น ถ่านหิน ประมาณ 30% และ ค่าไฟฟ้าประมาณ 30% ซึ่งแต่ละบริษัทจะมีนโยบายในการซื้อถ่านหินที่แตกต่างกันไป โดยสัดส่วนระหว่างการซื้อแบบ Spot และการทำสัญญาระยะยาว จะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ส่วนค่าไฟฟ้า ก็จะขึ้นกับค่า Ft ซึ่งมีแนวโน้มปรับลดลงในอนาคต

กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง 
น่าจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลงเช่นกัน แม้ว่าโครงสร้างต้นทุนงานก่อสร้าง จะมีองค์ประกอบของน้ำมันไม่เกิน 5% ของต้นทุนทั้งหมด ซึ่งใช้ในส่วนของเครื่องจักรหนัก แต่ราคาวัสดุก่อสร้างที่ได้รับอานิสงค์จากต้นทุนพลังงานที่ลดลงตามราคาน้ำมัน น่าจะทำให้สัดส่วนต้นทุนที่เป็นวัสดุก่อสร้าง (เหล็ก และปูน ) ซึ่งคิดเป็น 40% ของต้นทุนทั้งหมด มีแนวโน้มปรับตัวลดลงมา  สำหรับบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่เน้นรับงานภาครัฐเป็นหลัก และมีโอกาสได้งานประมูลรถไฟฟ้าที่กำลังจะประมูลรอบใหม่ คาดว่า CK(FV@B33) ยังมีความได้เปรียบ จึงเลือกเป็น Top pick รองลงมาเป็นบริษัทที่รับงานพวกเสาเข็ม ยังชอบ SEAFCO เพราะ SEAFCO(FV@B11.49) มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ CK ซึ่งยิ่ง CK มีโอกาสได้งานก่อสร้างรถไฟฟ้าใหม่ ยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจทำให้ SEAFCO ได้รับตามมาได้วย

กลุ่มยานยนต์ 
ต้นทุนค่าไฟฟ้าคิดเป็น 3-5% ของยอดขาย ขณะที่ค่าขนส่งสินค้าให้ลูกค้าคิดเป็น 0.5% ของยอดขาย ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดีเซลลดลง 20% และค่าไฟลดลง 5% จะส่งผลให้ต้นทุนรวมของบริษัทในกลุ่มลดลง และมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 2.5-3.5% แต่อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงแรง ไม่ได้เป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อรถเพื่อทดแทนการเดินทางในรูปแบบเดิม แต่อาจส่งผลให้ผู้ที่มีความต้องการจะซื้อรถอยู่แล้ว ตัดสินใจง่ายขึ้น เนื่องจากมีเงินเหลือเพื่อผ่อนค่างวดมากขึ้น  

นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการที่ได้ประโยชน์ทางอ้อม  ยังมีอีกหลายกลุ่มดังนี้  :

กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย 
ได้ประโยชน์ทางอ้อม ผ่านทางค่าวัสดุก่อสร้าง (เหล็ก, ปูน) ที่มีทิศทางลดลงตามราคาน้ำมัน ซึ่งในภาวะปกติผู้ประกอบการจะมีการขึ้นราคาบ้าน 3-5% ต่อปี ตามภาวะเงินฟ้อ เพื่อเป็นการผลักภาระไปให้แก่ผู้บริโภค ทำให้ Gross Margin ในอดีตทรงตัวที่ระดับ 34-36% มาโดยตลอด อย่างไรก็ตามในช่วงที่ภาวะน้ำมันเป็นขาลง ผู้ประกอบการมีพฤติกรรมไม่ปรับลดราคาขายบ้านลงตาม ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ Gross Margin ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 36% ขึ้นไป และส่งผลให้กำไรของกลุ่มปี 2558 ปรับเพิ่มขึ้นระดับ 1% นอกจากนั้นกลุ่มอสังหาฯ ยังได้รับประโยชน์ทางอ้อมในด้านการขนส่งวัสดุก่อสร้างและค่าไฟฟ้าอีกด้วย

กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม 
ต้นทุนค่าไฟฟ้าของกลุ่มโรงแรมคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3-6% ของรายได้ (โดย ERW ซึ่งมีธุรกิจโรงแรมคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 100% จะมีต้นทุนค่าไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 6% ของรายได้ ส่วน MINT และ CENTELมีธุรกิจหลากหลายมากกว่า โดยธุรกิจโรงแรมคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50% ของรายได้รวม มีต้นทุนค่าไฟ 3-4% ของรายได้) ส่วนต้นทุน Logistics คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% ของรายได้ ดังนั้นหากกำหนดให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลง 20% และค่าไฟลดลง 5% คาดส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มโรงแรม (โดยหลักมาจากกำไรของ MINT คิดเป็นสัดส่วน 74% ของกำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มฯ) เพิ่มขึ้นประมาณ 2%  แต่อย่างไรก็ตาม การที่ต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวลดลง น่าจะดีต่อสายการบินทุกแห่ง รวมถึงรถยนต์ โดยสารในประเทศ ที่สามรถปรับลดราคาค่าโดยสารลง สร้าง Sentiment เชิงบวกต่อการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น

ที่มา : http://www.kaohoon.com/online/content/view/26443/กูรูแนะลงทุน6กลุ่มหุ้นใหญ่รับอานิสงส์น้ำมันขาลง
กูรูแนะลงทุน 6 กลุ่มหุ้นใหญ่รับอานิสงส์น้ำมันขาลง กูรูแนะลงทุน 6 กลุ่มหุ้นใหญ่รับอานิสงส์น้ำมันขาลง Reviewed by boss on 13:27 Rating: 5
ขับเคลื่อนโดย Blogger.