หุ้นค้าปลีก...สู่ยุค "ถดถอย" อย่างถาวรแล้ว ในอีกซีกโลกหนึ่ง


ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา วอลมาร์ต (Walmart) ประกาศแผนที่จะปิดร้านค้าถึง 269 สาขาทั่วโลก! โดยกว่าครึ่งหนึ่งในสาขาที่จะปิด คือสาขาในประเทศสหรัฐอเมริกา


แผนการปิดสาขาจำนวนมากในครั้งนี้ อาจส่งผลทำให้พนักงานร้านค้าปลีกกว่า 16,000 คนต้องตกงาน!

แม้ห้างวอลมาร์ตชื่อไม่คุ้นหูคนไทยมากนัก เพราะไม่มีสาขาในประเทศเรา แต่เมื่อเทียบกันทั่วโลกแล้ววอลมาร์ตใหญ่กว่าเทสโก้โลตัส และบิ๊กซีหลายเท่าตัวนัก

การเปลี่ยนแปลงพื้นฐานอย่างถาวร

การตัดสินใจปิดสาขาจำนวนมากในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมค้าปลีกที่กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างถาวร! เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคสมัยใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พัฒนาแล้ว มีแนวโน้มที่จะเปรียบเทียบราคาสินค้าที่ตนเองจะซื้อ ผ่านทางเว็บไซต์และสั่งซื้อออนไลน์ มากกว่าที่จะเดินเข้าไปในห้างเพื่อเลือกสินค้าเหมือนสมัยก่อน


แล้วเมืองไทยล่ะ?

ก็น่าคิดนะครับว่าประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งมักจะเป็นผู้นำเทรนด์ใหม่ๆของโลกเริ่มออกอาการให้เห็นแล้วว่า ห้างค้าปลีกกำลังจะเป็นธุรกิจตะวันตกดินที่ล้าสมัยไปซะแล้ว แต่ในขณะที่เมืองไทย ยังดูเหมือนกลุ่มมหาเศรษฐี เจ้าสัวตระกูลต่างๆ ต่างจ้องตาเป็นมัน เพื่อจะเข้าซื้อบริษัทค้าปลีกในเมืองไทยจากเจ้าของที่บริษัทแม่เป็นฝรั่ง ที่ทำท่าเหมือนอยากจะขายกิจการในเมืองไทยทิ้ง เพื่อเอาเงินจากการขายไปใช้หนี้ และชดเชยธุรกิจในส่วนอื่นของโลกที่กำลังถดถอย

ลมแห่งการเปลี่ยนแปลง...อาจเร็วกว่าที่คุณคิด

สำหรับในเมืองไทยแล้ว ผมเชื่อว่าพฤติกรรมของคนไทยโดยส่วนใหญ่ คงยังไม่อินเทรนด์ขนาดคนอเมริกา คนไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนต่างจังหวัด ก็ยังคงนิยมเดินเข้าร้านค้าปลีก เพื่อซื้อสินค้า กินข้าว เดินตากแอร์ มากกว่าที่จะสั่งซื้อออนไลน์เหมือนคนชาติตะวันตกหรือคนจีนยุคใหม่

แต่... ของแบบนี้ก็ไม่แน่ครับ ลมแห่งการเปลี่ยนแปลงอาจจะรวดเร็วกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้เหมือนกับตลาดคอมพิวเตอร์ ที่วันดีคืนดีเพียงชั่วระยะเวลาไม่กี่ปี ถูกแทนที่ด้วยโทรศัพท์มือถือ จนห้างใหญ่อย่างพันทิปยังแทบจะเอาตัวไม่รอด

หรือเปลี่ยนแปลงเร็วมากแบบเมืองจีน ที่ทุกวันนี้ แม้แต่ก๋วยเตี๋ยวหรือรถยนต์ ก็สั่งซื้อกันออนไลน์!

ใครจะรู้ครับว่าสักวันหนึ่ง ตลาดออนไลน์ของไทย อาจเข้ามาแทนที่ห้างค้าปลีกแบบไม่ทันตั้งตัว แบบที่พวกเราคาดไม่ถึงก็เป็นได้!


ธนาคารที่ปล่อยกู้ คือความเสี่ยง

ถ้าท่านเจ้าสัวทั้งหลาย ใช้เงินส่วนตัวของตัวเองซื้อกิจการค้าปลีก ก็คงไม่เป็นไร ถือว่าเจ้าสัวก็ขาดทุนไป (ผมคงไม่ห่วงว่าเจ้าสัวจะจนลงหรอกครับ 555)

ผมห่วงก็แต่เพียงว่า ธนาคารไทยที่ชอบปล่อยกู้แบบเกินความเหมาะสม เพื่อหวังทำยอดเร็วๆพร้อมปล่อยเงินกู้ระยะยาว เกินกว่าเงินทุนที่เจ้าสัวลงขันมา เพื่อไปจ่ายค่าหุ้นราคาสุดแพงให้กับฝรั่ง ทำให้ธนาคารถูกบีบให้ต้องปล่อยเงินกู้เยอะ และทำเป็นหนี้ระยะยาว 5-10 ปี เพื่อให้กระแสเงินสดของเจ้าสัว "ไม่ช๊อต"

หากในอนาคตธุรกิจค้าปลีกที่เจ้าสัวซื้อมา ไม่รุ่งแบบที่คาด (เหมือนอย่างกรณี SSI ที่ธนาคารที่ปล่อยกู้ ประเมินว่าซื้อมาแล้วรอด แต่สุดท้ายไปไม่รอด) เจ้าสัวจะเดือดร้อนนิดเดียว (เพราะลงขันไม่มาก)

แต่เงินกู้ธนาคารกลายเป็นหนี้เสีย หนี้เน่าเหล่านั้นก็จะส่งผลไปที่ความมั่นคงของธนาคารไทย

และเมื่อระบบธนาคารและการเงินมีปัญหา คนที่เดือดร้อนที่สุดก็คงหนีไม่พ้นประชาชนผู้ฝากเงินทุกคนครับ

ที่มา : stock2morrow
หุ้นค้าปลีก...สู่ยุค "ถดถอย" อย่างถาวรแล้ว ในอีกซีกโลกหนึ่ง หุ้นค้าปลีก...สู่ยุค "ถดถอย" อย่างถาวรแล้ว ในอีกซีกโลกหนึ่ง Reviewed by boss on 04:56 Rating: 5
ขับเคลื่อนโดย Blogger.