BE อันตราย โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร



ช่วงเร็ว ๆ นี้มีข่าวทางการเงินและการลงทุนที่เป็น “สัญญาณอันตราย” ที่นักลงทุนจะต้องจับตามองนั่นก็คือ  “การเบี้ยวหนี้ BE” ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายบริษัทต่อเนื่องกัน  แม้ว่าขนาดของเม็ดเงินโดยรวมที่บริษัทผู้ออกตราสาร BE ที่ไม่สามารถชำระได้ตามกำหนดจะไม่สูงมาก  แต่การที่บริษัทเหล่านั้นเป็นบริษัทจดทะเบียนที่คนมักจะเชื่อว่ามีความเข้มแข็งทางการเงินมากกว่าบริษัทเอกชนโดยทั่วไป  อีกทั้งบริษัทที่เบี้ยวหนี้เองก็เป็นหุ้นจดทะเบียนที่มีนักลงทุนซื้อขายหุ้นอย่างคึกคัก  หลายบริษัทนั้นก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นหุ้น “ขวัญใจ” ของนักลงทุนรายย่อยเนื่องจากราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปสูงลิ่วพร้อมกับปริมาณการซื้อขายมหาศาล  พูดง่าย ๆ  หุ้นเหล่านั้นบางตัวแทบจะเคยเป็น  “หุ้นแห่งอนาคต”  ของนักเล่นหุ้นทั้งรายย่อย  ขาใหญ่  หรือแม้แต่ “เซียน VI”   ดังนั้น  การที่อยู่ ๆ  บริษัทก็  “เน่า” เสียอย่างนั้น  จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรและมันจะนำไปสู่ปัญหาหรือวิกฤติทางการเงินหรือไม่  แต่ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องนั้น  เรามาดูว่าอะไรคือ BE หรือ Bill of Exchange หรือที่เราใช้ภาษาไทยว่า “ตั๋วแลกเงิน”

ในอดีตที่ผมเพิ่งเข้าสู่วงการเงินใหม่ ๆ  ประมาณ 30 ปีมาแล้วนั้น  BE มักเป็นตราสารการเงินที่ออกโดยบริษัทข้ามชาติใหญ่ ๆ ที่ดำเนินธุรกิจในเมืองไทย  ที่จริง BE ในความหมายสากลนั้นเป็นคล้าย ๆ  กับใบแจ้งหนี้หรือใบรับหนี้ที่เกิดจากการค้าโดยเฉพาะระหว่างประเทศ  พูดง่าย ๆ  คนขายสินค้าจะได้รับ BE จากผู้ซื้อที่จะกำหนดวันจ่ายเงินไว้แน่นอนในอนาคตที่ไม่ยาวนัก  อาจจะ 3-6 เดือนอะไรทำนองนี้   เมื่อคนได้รับ BE มา  บางทีเขาก็อยากจะได้เงินทันทีเพื่อที่จะนำเงินมาหมุน  เขาก็เอา BE ไป “ขายลด”  ให้กับคนอื่น  เช่น ในหน้าตั๋วบอกว่าจะจ่ายเงิน 100 ล้านบาทในอีก 3 เดือน  คนขายก็อาจจะเอาไปขายต่อให้กับคนอื่นที่ราคา 98 ล้านบาท  ซึ่งคนซื้อก็เหมือนกับได้ “ดอกเบี้ยล่วงหน้า” 3 ล้านบาทในเวลา 3 เดือน  คิดคร่าว ๆ  ก็คือได้ 8 ล้านบาทหรือ 8% ในเวลาหนึ่งปี  ซึ่งก็เป็นดอกเบี้ยที่ค่อนข้างดีเนื่องจากบริษัทที่ออกนั้นใหญ่โตแข็งแกร่งมาก  นอกจากนั้น  ในอดีตการลงทุนซื้อตั๋ว BE ยังไม่ต้องเสียภาษีด้วย  เพราะเขาไม่ได้เรียกรายได้นั้นว่าเป็นดอกเบี้ยรับ

ในระดับสากลนั้น  การใช้ BE คงจะลดลงไปมากเนื่องจากระบบการชำระเงินทางการค้าระหว่างประเทศก้าวหน้าไปมาก  แต่ในประเทศไทยนั้น  ดูเหมือนว่า BE อาจจะถูกนำมาใช้ในแนวอื่นมากกว่าเรื่องของการค้า  สาเหตุก็อาจจะเนื่องจากมันมีข้อดีโดยเฉพาะทั้งผู้ที่ออกและผู้ที่ซื้อลงทุน  ประเด็นสำคัญก็คือเรื่องของความสะดวกและคล่องตัวสำหรับทั้งสองฝ่ายที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและมีต้นทุนที่ถูก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  นี่เป็นตราสารการเงินระยะสั้นที่มักมีอายุไม่เกิน 1 ปี และมักจะออกโดย  “บริษัทขนาดใหญ่ที่มีฐานะการเงินที่ดี”  โอกาสที่หนี้จะเสียนั้น “น่าจะน้อยมาก”  นอกจากนั้น  คนที่ลงทุนก็มักจะเป็นนักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่ที่น่าจะ  “มีความรู้และเข้าใจการลงทุนมากและรับความเสี่ยงได้สูง”

ทั้งหมดนั้นก็คือแนวความคิดและความเชื่อที่อาจจะไม่จริงในตอนนี้  ข้อแรกก็คือ  BE ที่ออกในระยะหลังนั้น  ไม่ได้ออกเพื่อมาไฟแน้นซ์การค้าอะไร  หลายบริษัทออก BE เพื่อนำเงินมาลงทุนในทรัพย์สินระยะยาวโดยอาจจะคิดว่าเมื่อถึงกำหนดชำระเงินคืนตามหน้าตั๋วก็สามารถ Roll Over หรือต่อตั๋วไปเรื่อย ๆ  ซึ่งก็จะคล้าย ๆ  กับว่าไม่ต้องชำระคืนเงินต้นหรือดอกเบี้ยตราบใดที่ยังขาย BE ไปได้เรื่อย ๆ   พวกเขาคิดว่ามันทำได้ง่าย ๆ  และ “ไม่มีความเสี่ยง”  ที่สำคัญบริษัทจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่ถูก  อาจจะเพียง 3-4% ต่อปี ในขณะที่การกู้เงินระยะยาวนั้นต้องเสียดอกเบี้ยอาจจะถึง 7-8%  และยังต้องเสียเวลาทำเรื่องเป็นโครงการที่ยุ่งยากและเสียเวลา

ในส่วนของคนที่ซื้อตั๋ว BE เองนั้น  พวกเขามักเป็นนักลงทุนที่มีเม็ดเงินที่จะต้องลงเป็นจำนวนมากเช่น  เป็นผู้จัดการกองทุนโดยเฉพาะที่เป็นตราสารหนี้ระยะสั้นที่กำลังได้รับความนิยมมหาศาลอานิสงค์จากการที่ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารต่ำมากต่อเนื่องยาวนาน  นักลงทุนที่ไม่ต้องการความเสี่ยงสูงของหุ้นแต่อยากได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นต่างก็อยากลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่อาจจะได้ผลตอบแทนปีละ 2-3%  โดยที่ “ความเสี่ยงต่ำ”  ดังนั้น  นักลงทุนสถาบันจึงมีความต้องการ BE ที่สนองกับจุดประสงค์นั้นได้ดี   ในช่วงแรก ๆ  นั้น  ผู้จัดการกองทุนหรือคนที่ซื้อตั๋ว BE เองก็อาจจะมีความ “ระมัดระวัง” กลัวว่าบริษัทอาจจะเบี้ยวหนี้ได้  ดังนั้น  พวกเขาก็อาจจะเน้นซื้อเฉพาะตั๋วของบริษัทใหญ่มาก ๆ  และ/หรือมีการจัดอันดับจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ  อย่างไรก็ตาม  ความนิยมของนักลงทุนในกองทุนตลาดเงินระยะสั้นที่มากขึ้นก็ทำให้ความต้องการ BE มากขึ้นและนี่นำมาซึ่งบริษัทผู้ออกที่มีขนาดที่เล็กลงแต่อาจจะมี  “ชื่อเสียง”  เพราะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์   ต่อมาก็นำมาซึ่ง BE ที่ไม่มีการจัดอันดับ  ทั้งหมดนั้นดูเหมือนว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี  หนี้เสียเกิดขึ้นน้อยมาก

แต่ทั้งหมดนั้นอาจจะเป็น  “ภาพลวง” ที่มักจะเกิดขึ้นแทบทุกครั้งในยามที่ตลาดการเงินกำลัง “บูม”  ตัวอย่างชัดเจนก็คือเรื่องของ  “แชร์ลูกโซ่”  ที่ทุกอย่างดูดีหมดจนกระทั่งถึง  “วันพิพากษา”  ที่ทุกอย่าง “ล่มสลาย”   ตลาดของ BE โดยเฉพาะที่ไม่มีเรทติ้งนั้น  ผมคิดว่าน่าจะกำลัง “ล่มสลาย” และเราอาจจะเห็นการ “เบี้ยวหนี้” เพิ่มขึ้น  บางทีบริษัทที่ออกอาจจะเกิด “ปัญหาทางเทคนิค” ไม่ใช่เรื่องพื้นฐานทางธุรกิจ  แต่ประเด็นก็คือ  ความมั่นใจของนักลงทุนน่าจะหมดไปและนั่นอาจจะทำให้บริษัทไม่สามารถต่ออายุตั๋ว BE ได้อีก  ถ้าจะว่าไป  ผมเองคิดว่าตราสาร BE ที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทยเวลานี้เป็นเครื่องมือทางการเงินที่  “อันตราย”  มาก  เนื่องจากมันเป็นเหมือน  “เช็คลงวันที่ล่วงหน้า”  ที่ไม่มีหลักประกันและออกโดยบริษัทที่อาจจะไม่มีความรู้หรือวินัยในการจัดการเรื่องการเงิน  และซื้อโดยคนที่มองโลกในแง่ดี  ต้องการสร้างผลงานการลงทุน  และคิดว่าในระยะเวลาสั้น ๆ  บริษัทคงไม่เจ๊ง หรือเจ๊งก็ไม่เป็นไรเพราะเขากระจายความเสี่ยงเพียงพอ

ผมเองก็คิดและหวังว่าความเสียหายในเรื่องของ BE ในครั้งนี้คงไม่ลามไปใหญ่โตจนกระทบกับเศรษฐกิจในวงกว้าง  อย่างไรก็ตาม  ผลกระทบต่อบริษัทหรือนักลงทุนหรือกองทุนบางกองอาจจะแรงอย่างมีนัยสำคัญ  และนี่ก็จะเป็นบทเรียนอีกครั้งสำหรับอะไรก็ตามที่ “ไม่มีเหตุผล” แต่คนกำลัง “เล่น” กันมาก

ที่มา : thaivi
BE อันตราย โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร BE อันตราย โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร Reviewed by boss on 14:47 Rating: 5
ขับเคลื่อนโดย Blogger.